จากสภาพปัญหาของผู้เรียนที่พบในการเรียนของรายวิชาของกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม ค่อนข้างที่จะมีเนื้อหามากและเข้าใจยาก ดังนั้นก็ต้องมีการปรับรูปแบบการเรียนการสอน กระชับหลักสูตร ปรับเนื้อหาของการศึกษา เพิ่มความยืดหยุ่นของเวลาเรียนความหลากหลายของการเรียนรู้ความยืดหยุ่นในการใช้เวลาและการเลือกรูปแบบการเรียนสำคัญมากและยกระดับการประเมินเพื่อการพัฒนา อาจต้องอาศัยการทำงานร่วมกันระหว่างนักเรียน ผู้ปกครองและครูมากขึ้น เพื่อติดตามการเรียนรู้สุขภาพกายและสุขภาพจิตของนักเรียนโดยให้ผู้ปกครองเข้ามามีส่วนร่วมด้วย ครูผู้สอนจึงได้จัดทำข้อตกลงในการพัฒนางานประเด็นท้าท้าย โดยใช้สื่อการจัดการเรียนรู้ เทคนิค วิธีการ และองค์ความรู้ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องมาใช้ในการพัฒนาให้เป็นผู้ที่รู้เท่าทันสื่อและประยุกต์ใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ อย่างมีจริยธรรม
2.1 วิเคราะห์หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ.2561) และหลักสูตรสถานศึกษา
โรงเรียนสุราษฎร์ธานี๒ ฉบับปรับปรุง พุทธศักราช 2563 ในเรื่องของมาตรฐานการเรียน และตัวชี้วัดของเนื้อหารายสาระสังคมศึกษา
2.2 ออกแบบหน่วยการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ และแผนการจัดการเรียนรู้ที่ส่งเสริมทักษะ การคิดวิเคราะห์ ด้วยสื่อการจัดการเรียนรู้ และวิธีการสอนแบบ Active learning (โดยใช้กระบวนการทางภูมิศาสตร์และกระบวนการกลุ่ม))
2.3 เปิดชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพ (PLC) โดยครูในกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม และเข้าไปสังเกตการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ช่วยกันตรวจสอบความถูกต้องในเนื้อหา การจัดกิจกรรม แบบสังเกตพฤติกรรม และแบบฝึกหัด พร้อมทั้งเสนอแนะ และสะท้อนผลการจัดกิจกรรมเพื่อนำมาปรับปรุง แก้ไขให้ผู้เรียนเกิดทักษะการคิดวิเคราะห์ ให้เหมาะสมกับบริบทของห้องเรียน ผู้เรียน และโรงเรียน
2.4 ครูผู้สอนนำกิจกรรมมาปรับปรุง แก้ไขตามคำแนะนำของคณะครูในกลุ่มสาระการเรียนรู้ สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม โรงเรียนสุราษฎร์ธานี๒
2.5 ครูผู้สอนสร้างแบบทดสอบ และแบบบันทึกการปฏิบัติกิจกรรม โดยตรวจสอบความเที่ยงตรงของแบบทดสอบด้วยค่าความสอดคล้องระหว่างข้อคำถามกับวัตถุประสงค์ (IOC) ด้วยผู้เชี่ยวชาญ และปรับปรุงแก้ไขตามคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญ
2.6 จัดกิจกรรมการเรียนรู้ เรื่อง การจัดการเรียนการสอน วิชาสังคมศึกษา ส23102 ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ด้วยสื่อการจัดการเรียนรู้ และวิธีการสอนแบบ Active learning (โดยใช้กระบวนการทางภูมิศาสตร์และกระบวนการกลุ่ม) โรงเรียนสุราษฎร์ธานี๒ จังหวัดสุราษฎร์ธานี โดยปรับกิจกรรมให้เหมาะสมกับบริบทของห้องเรียน ให้ผู้เรียนได้ลงมือปฏิบัติจริง ได้ฝึกทักษะการคิดวิเคราะห์ ซึ่งขั้นกิจกรรมดังนี้
วิธีสอนโดยใช้การกระบวนการทางภูมิศาสตร์ สามารถใช้เป็นแนวทางในการจัดกิจกรรมที่สอดคล้องการเรียนรู้แบบสืบสอบ และการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน อีกทั้งยังเป็นการส่งเสริมให้เกิดพัฒนาทักษะการสังเกต ทักษะการแปลความข้อมูลทางภูมิศาสตร์ การใช้เทคโนโลยีและการสถิติพื้นฐานเพื่อนำมาสู่ข้อสรุปที่เป็นองค์ความรู้ที่เป็นการเรียนรู้ที่มีความหมายสำหรับผู้เรียน โดยการนำกระบวนการทางภูมิศาสตร์มาใช้ในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ประกอบด้วยด้วยขั้นตอนดังต่อไปนี้
ขั้นที่ 1 : การตั้งคำถามเชิงภูมิศาสตร์
การศึกษาภูมิศาสตร์จะต้องอาศัยความสามารถในการตั้งคำถามเกี่ยวกับว่า คำถามที่ใช้ศึกษาในวิชาภูมิศาสตร์จะเป็นคำถามที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง โดยเป็นปัญหาเกี่ยวกับคำถามที่ถามว่า ที่ไหน และเพราะเหตุใดจึงต้องเป็นที่นั่น (Where and Why There) จึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งที่นักเรียนจะต้องพัฒนาและฝึกทักษะเกี่ยวกับการตั้งคำถาม แนวคำถาม
ตัวอย่างคำถาม
• เพราะเหตุใดสิ่งต่างๆ จึงปรากฏและเป็นอยู่ที่ตรงนั้น เพราะเหตุใดมันจึงอยู่ที่นั่น (Why is it there?)😆
ทำไมป่าอะแมซอลจึงเกิดไฟไหม้บ่อยครั้ง
• บางสิ่งบางอย่างนั้นสัมพันธ์กับอะไรบ้าง (With what is it associated?)🥰
ประเทศที่เกิดแผ่นดินไหว ยังเกิดภูเขาไฟปะทุและ สึนามิด้วย เพราะอะไร 😉
• ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นตรงนี้คล้ายกับที่ไหนบ้าง (What is this place like?)😆
หากเราเดินไปทวีปอเมริกาใต้ลักษณะภูมิประเทศแบบใดที่คล้ายคลึงประเทศไทย
• อะไรที่จะเกิดขึ้นเนื่องจากทำเลที่ตั้งและความสัมพันธ์เหล่านั้น (What are the consequences of its location and associations?)🤩
การตั้งคำถามนั้นจะต้องเป็นคำถามที่มีความเป็นไปได้ในการหาคำตอบ นำมาสู่การตั้งสมมติฐานของคำตอบ สะท้อนให้เห็นถึงแนวทางในการรวบรวมข้อมูลเพื่อหาคำตอบด้วย ในระดับเริ่มต้นการฝึกตั้งคำถามควรเริ่มต้นแยกคำถามทางด้านภูมิศาสตร์ออกจากคำถามที่ไม่ใช่ภูมิศาสตร์ ครูร่วมกันสร้างคำถามด้วยกันโดยชวนให้นักเรียนสงสัยเพื่อกระตุ้นให้เกิดคำถาม
ขั้นที่2 : การเก็บรวบรวมข้อมูล
ข้อมูลที่ใช้ในการศึกษาภูมิศาสตร์ เรียกว่า สารสนเทศภูมิศาสตร์ (Geographic Information) เป็นข่าวสารข้อมูลที่มีรายละเอียดเกี่ยวกับทำเลที่ตั้ง ลักษณะทางกายภาพและมนุษย์บนทำเลที่ตั้งเหล่านั้น
เมื่อนักเรียนตั้งคำถามเชิงภูมิศาสตร์ นักเรียนจะต้องรวบรวมข้อมูลจากการอ่านและแปลความหมายจากแผนที่ ภาพถ่าย ข้อมูลสถิติ ข้อมูลเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ รวมถึงการเก็บข้อมูลจากการสอบถาม การออกภาคสนาม และการอ้างอิงจากเอกสาร การออกภาคสนาม นับว่ามีความสำคัญเป็นอย่างมากในการศึกษาทางภูมิศาสตร์ เป็นการฝึกทักษะการสังเกตในพื้นที่จริง จากการสัมภาษณ์ การสอบถาม การบันทึกภาพ การออกภาคสนามจะช่วยกระตุ้นให้ความอยากรู้อยากเห็น เพลิดเพลิน ช่วยให้เกิดการเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) จากการเก็บข้อมูลจะทำให้นักเรียนเข้าใจลักษณะทางกายภาพและกิจกรรมของมนุษย์ที่เกิดขึ้นในที่ต่างๆ
ขั้นที่3 : การจัดการข้อมูล
ให้นักเรียนแบ่งกลุ่มทำแผนผัง ความคิด เกี่ยวกับทวีปอเมริกาเหนือและทวีปอเมริกาใต้ จากประเด็นที่นักเรียนสงสัยและอยากรู้ โดยแบ่งข้อมูลกันสืบค้น เมื่อได้ข้อมูลมาแล้วนักเรียนจะต้องแยกข้อมูลเป็นหมวดหมู่ เพื่อให้ง่ายต่อการวิเคราะห์ข้อมูล เพราะข้อมูลที่ได้อาจจะกระจัดกระจาย และไม่เพียงพอ นักเรียนจะต้องนำข้อมูลมาจำแนก และจัดกลุ่มให้อยู่ในรูปแบบแผนภาพ แผนผัง แผนที่ และกราฟ ทำให้เห็นภาพสรุปที่ชัดเจน ในการจัดการข้อมูลนั้น นักเรียนต้องมีความคิดสร้างสรรค์ในการออกแบบวิธีการนำเสนอข้อมูลที่เป็นระบบ
การทำแผนที่เป็นวิธีการที่นิยมมากในการจัดการข้อมูล ด้วยการเขียนข้อความหรือบันทึกจากการสำรวจที่ต้องการนำเสนอไว้ในแผนที่ การใช้สัญลักษณ์แสดงข้อมูลในแผนที่ เช่น ที่ตั้งของทรัพยากรที่มีอยู่บนโลก จุดตั้งถังขยะในโรงเรียน ตำแหน่งที่เกิดแผ่นดินไหว พื้นที่ที่ปรากฏปัญหาสิ่งแวดล้อม เป็นการพัฒนาทักษะในการแปลความหมายและสร้างสรรค์สัญลักษณ์ในแผนที่ การค้นหาทำเลที่ตั้งบนแผนที่ การกำหนดทิศทาง และการใช้มาตราส่วน
ขั้นที่4 : การวิเคราะห์ข้อมูล
การวิเคราะห์ข้อมูล เป็นการศึกษารูปแบบ ความสัมพันธ์ และความเชื่อมโยงที่เกิดขึ้นของปรากฏการณ์ต่างๆ ทางภูมิศาสตร์ ตลอดจนศึกษาแนวโน้ม ความสัมพันธ์ และความต่อเนื่องของปรากฏการณ์หาความสัมพันธ์สอดคล้องกันและลักษณะที่คล้ายกันระหว่างพื้นที่ เปรียบเทียบกับข้อมูลจากแผนที่ กราฟ แผนภาพ ตาราง และอื่นๆ ด้วยการใช้สถิติอย่างง่ายๆ เพื่อให้ได้คำตอบสำหรับคำถาม
ขั้นที่ 5 : การสรุปข้อมูลเพื่อหาคำตอบ/ขั้นนำเสนอ
การนำข้อสรุปของกลุ่มมาใช้ในการสรุปบทเรียน ผู้เรียนช่วยกันสรุป โดยผู้สอนเป็นผู้ถามแล้วให้ผู้เรียนตอบจนสามารถได้สาระสำคัญครบถ้วน โดยสรุปในรูปแบบแผนผังความคิด( mind mapping) และนำเสนอหน้าชั้นเรียน พร้อมให้กลุ่มอื่นร่วมกันแสดงความคิดเห็น
วิธีการสอนแบบ Active learning (โดยใช้กระบวนการทางภูมิศาสตร์และกระบวนการกลุ่ม) ทีใช้ร่วมกับกิจกรรมการเรียนการสอนรูปแบบอื่นๆ หรือหลังจากที่ผู้สอนได้สอนผู้เรียนทั้งชั้นไปแล้ว และต้องการให้ผู้เรียนได้ศึกษาค้นคว้า ร่วมกัน ช่วยให้นักเรียนได้แลกเปลี่ยนสิ่งที่ตนทำกับเพื่อน การที่เด็กได้สนทนาร่วมกันทั้งเป็นกลุ่มย่อยและทั้งชั้นเรียนเกี่ยวกับหัวข้อที่เด็กสนใจ ทำให้เด็กมีโอกาสได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นซึ่งกันและกัน
📣ซึ่งแนวทางการจัดการเรียนรู้โดยวิธีการสอนแบบ Active learning (โดยใช้กระบวนการทางภูมิศาสตร์และกระบวนการกลุ่ม) แบ่งเป็น 5 ขั้นตอน ได้แก่ ขั้นที่ 1: การตั้งคำถามเชิงภูมิศาสตร์ ขั้นที่2 :การเก็บรวบรวมข้อมูล ขั้นที่3 : การจัดการข้อมูล ขั้นที่4 : การวิเคราะห์ข้อมูล ขั้นที่ 5 : การสรุปข้อมูลเพื่อหาคำตอบ/ขั้นนำเสนอ
ซึ่งกระบวนการเรียนรู้ผ่านการคิดวิเคราะห์ทั้ง 5 ขั้นตอนนี้ ทำให้ผู้เรียนสามารถเชื่อมโยงความรู้สู่การปฏิบัติ ก่อเกิดผลงานที่สร้างประโยชน์ให้กับสังคมและชุมชน ทำให้ผู้เรียนเกิดความภาคภูมิใจจากผลงานของตนเอง โดยการสอนแบบ Active learning (โดยใช้กระบวนการทางภูมิศาสตร์และกระบวนการกลุ่ม) สามารถประเมินผลการเรียนรู้ของผู้เรียนจากผลงานนั้น ๆ และทักษะที่เกิดขึ้นกับการนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน จึงเป็นกระบวนการเรียนรู้ที่มีทั้งข้อมูลเนื้อหาวิชาซึ่งเชื่อมโยงกับการเรียนรู้ทักษะชีวิตอันจะก่อให้เกิดความรู้และทักษะที่นำไปใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวันได้ตามความมุ่งหมายทางการศึกษาอย่างแท้จริง
3.1 เชิงปริมาณ (10 คะแนน)
นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนสุราษฎร์ธานี๒ จำนวน 4 ห้องเรียน ได้แก่ ม.3/2, 3/6,3/7,3/8 รวมจำนวนนักเรียนทั้งหมด 160 คน เมื่อได้รับการจัดการเรียนรู้ด้วยวิธีการจัดการเรียนรู้โดยใช้การสอนแบบ Active learning (โดยใช้กระบวนการทางภูมิศาสตร์และกระบวนการกลุ่ม) มีความสามารถในการคิดวิเคราะห์และผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เพิ่มสูงขึ้นกว่าหลังเรียน คิดเป็นร้อยละ 80
3.2 เชิงคุณภาพ (10 คะแนน)
นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนสุราษฎร์ธานี๒ จำนวน 4 ห้องเรียน ได้แก่ ม.3/2, 3/6,3/7,3/8 รวมจำนวนนักเรียนทั้งหมด 160 คน เมื่อได้รับการจัดการเรียนรู้ด้วยวิธีการจัดการเรียนรู้โดยใช้การสอนแบบ Active learning (โดยใช้กระบวนการทางภูมิศาสตร์และกระบวนการกลุ่ม) มีความพึงพอใจในการจัดการเรียนการสอน อยู่ในระดับ ดีมาก
ประมวลภาพการจัดกิจกรรม